เคยคิดบ้างมั๊ยว่าบางครั้งสิ่งที่เราเห็นอยู่รอบๆตัวมันแปลกดี
บางอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ หรือบางเรื่องก็ช่างบังเอิญดีแท้ ไม่น่าเชื่อเลย
เชื่อมั๊ยว่าคนบางกลุ่มสามารถใช้ชีวิตอยู่อเมริกาได้ โดยไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษเป็น
แถมยังดูเหมือนจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรอยู่
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อประมาณสอง-สามอาทิตย์ก่อน
มีเพื่อนเกาหลีขอให้ช่วยเอารถของเค้าไปเอาใบทะเบียนรถตัวจริงจากอู่ที่เค้าไปซื้อมา
เพราะช่วงเวลาที่ต้องไปเอาทะเบียนนั้น เค้าจะยังไม่กลับมาจากเกาหลี
จริงๆเพื่อนคนนี้ซื้อรถมาตั้งแต่เดือน March แล้วเจ้าตัวกลับประเทศไปตอน May
ตอนที่รับฝาก เค้าบอกว่าทางอู่น่าจะโทรมาบอกให้ไปเอาใบทะเบียนช่วงกลางเดือน May
ไอ้เราก็รอไปเรื่อยๆ จนอาทิตย์สุดท้ายของเดือน May หลังจากเราคุยกับเพื่อนเกาหลีคนนี้
บอกเค้าว่าทางอู่ยังไม่โทรมาเลย เจ้าตัวเลยโทรไปตามเรื่องจากทางอู่อีกที
สุดท้ายคนจากอู่ก็โทรมาบอกให้เราเอารถของเพื่อนคนนี้ไปหาเค้า
พอไปถึงก็เจอลูกชายเจ้าของอู่ ทำท่าลกๆ ประมาณธุระกิจรัดตัว
แถมยังบอกด้วยนะว่าโทรหาเราตั้งสามครั้งแล้ว แต่เราไม่รับสาย ประมาณว่าจะบอกเป็นนัยๆว่าตูไม่ผิดนะเฟ้ย
ซึ่งจริงๆแล้วเป็นไปไม่ได้ มันโกหกชัวว์ เพราะช่วงเดือนนั้นเราไม่ได้อยู่ในตึกเลย
อยู่ที่บ้านตลอด แถมยังมีน้องๆเพื่อนๆโทรมาหาเรื่อยๆ เป็นไปไม่ได้ที่โทรมาแล้วจะไม่ติด
อย่างน้อยก็ต้องมี miss call ขึ้นมาให้เห็น
จากนั้นเค้าก็ขับรถเพื่อนเราออกไป ปล่อยให้เราไปนั่งรอในออฟฟิตอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง
ในออฟฟิตมีผู้ชายเกาหลีวัยกลางคนอยู่ เราก็ชวนเค้าคุย
ปรากฏว่าอาเฮียแกพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องเลย
จะถามเรื่องรถของเพื่อนเรา ก็ไม่รู้เรื่อง เออๆ ออๆ อย่างเดียว
นั่งรอได้สักพักก็มีเจ้าหน้าที่จากเมือง Dallas เดินเข้ามาในออฟฟิต แล้วก็ขอดูใบอนุญาติ
อาเฮียแกก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไอ้เรานั่งฟังไปฟังมาก็เลยรู้ว่าเป็นเพราะออฟฟิตของอาเฮียนี่
เค้าไม่ได้จดทะเบียนตึกอาคารสำนักงานอย่างถูกต้อง ดันไปใช้เลขซ้ำกับอีกอู่หนึ่ง ซึ่งอยู่ในอาคารเดียวกัน
เจ้าหน้าที่คนนี้ก็พยายามอธิบาย อาเฮียนี่ก็ไม่รู้เรื่องสักที ไอ้เราอยากเข้าไปช่วยก็ต้องท่องในใจว่า
ธุระไม่ใช่ ๆ
สักพักอาเฮียก็เลยโทรเรียกลูกชายกลับมา แล้วก็โทรตามหุ้นส่วนมาด้วย ทีนี้ในออฟฟิตก็เลยวุ่นกันใหญ่
เจ้าลูกชาย (คนที่ขับรถเพื่อนเราออกไป) กลับมาก็ทำท่าหัวเสียประมาณว่า ยุ่งอยู่โว้ย อะไรกันนักกันหนา…
(ตอนเราขับรถเข้ามาเจอมันหนแรก มันก็ทำท่าทางแบบนี้เหมือนกัน)
พอเรื่องสงบ เจ้าลูกชายก็บอกให้เราเดินตามไปข้างนอกด้วยภาษาอังกฤษแบบกระท่อนกระแท่น
พอเราเดินตามออกไปก็ทำท่า งงๆ ใส่เรา แล้วก็ชี้ๆไปที่รถของเพื่อนเรา
สรุปคือมันต้องการให้เราขับรถตามมันไป
ไอ้เราก็ว่าง่ายขับรถตามมันไป ในใจก็นึก งง อยู่ว่ามันจะให้เราขับไปไหนหว่า
ไหนว่าให้เอารถมาติดทะเบียนใหม่แค่นั้น
ปรากฏว่ามันพาเราไปนั่งรออู่ของคนเกาหลีอีกอู่หนึ่งที่รับทำ inspection
ไอ้เราก็อึ้งๆ…. มันลากตูออกมาทำไม จัดการเองให้เรียบร้อยแล้วค่อยเอารถมาให้ไม่ได้เหรอ
ว่าแล้วเจ้าลูกชายก็เข้ามาบอกว่าพอเค้าเช็ครถเสร็จก็ให้ขับรถกลับไปได้เลยนะ
เราก็เลยถามว่าแล้วไหนล่ะทะเบียนรถ
มันก็บอกว่าเดี๋ยวจะส่งเป็นเมล์ไปให้
ไอ้เราก็เลยยิ่ง งง … แล้วมันจะให้ตูถ่อมาถึงนี่ทำไม ทำ inspection นี่มันทำที่ไหนก็ได้ ไม่เห็นต้องให้มารอ
ว่าแล้วเขาก็จากไป ปล่อยให้น้องแบงค์ยืนรอรถ ท่ามกลางอากาศร้อนๆ แบบ งงๆ
ที่ งง ยิ่งกว่านั้นคือ ตาช่างเครื่อง.. เช็คๆรถอยู่ก็หันมาถามเรา…
รถเปิดถังน้ำมันตรงไหนอ่ะ ….??
โอ้ว… อะไรมันจะขนาดนั้น.. เป็นช่างจริงหรือเปล่าฟะ ขนาดกระผมพึ่งเคยขับรถคันนี้เป็นครั้งแรก ยังรู้เลยว่าถังน้ำมันเปิดตรงไหน
รอได้สักครื่งชั่วโมงนายช่างก็เอาเอกสารมาให้เรา แล้วบอกให้เรากลับบ้านได้
ระหว่างทางกลับบ้านเราแวะร้านขายเครื่องดนตรีที่อยู่ไม่ไกลจากอู่นัก ระหว่างกำลังเดินๆดูเครื่องดนตรีอยู่
เจ้าลูกชายก็โทรเข้ามา ถามว่าที่อู่ให้เอกสารประกันรถยนต์มาด้วยหรือเปล่า
เราจำได้ว่าที่อู่ให้มาด้วย พอบอกไปว่าเอกสารอยู่กับเรา มันก็ทำเสียง โอ้ อ่า อะไรของมัน
แล้วก็บอกว่า งั้นถ้ามาคราวหน้าให้เอามาด้วย
เราก็เลยถามว่าถ้าไม่มีแล้วจะขึ้นทะเบียนได้มั๊ย
มันก็บอกว่าไม่ได้
เราก็นึกในใจ อะไรของมันฟะ ถ้างั้นเราก็ต้องเอากลับไปให้มันสิ ไม่งั้นวันนี้จะออกมาทำไม
เรื่องของเรื่องคือ ไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้คิดอะไรอยู่
1. อยู่ในอเมริกา แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ นี่ไม่นับว่าเปิดกิจการเองด้วยนะเนี่ย
2. ทำกิจการค้าขาย แต่ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลย อาศัยว่าอู่อยู่ในเขต Korean Town แล้วก็หากินกับคนเกาหลีด้วยกันไปเรื่อยๆหรือไงไม่รู้ งง
3. จนป่านนี้ (กลางเดือน June) เราก็ยังไม่เห็นรถเพื่อนเราติดทะเบียนถาวรเลย นี่มันปาเข้าไป 4 เดือนแล้วนะ จากที่เพื่อนเราซื้อรถมา ขนาดซื้อรถใหม่ยังไม่ต้องรอทะเบียนนานอย่างนี้เลย ทั้งที่ตอนเราไป ถามแล้วถามอีก เค้าก็รับปากว่าจะส่งมาให้ในอาทิตย์นั้นเลยนะ เหลือเชื่อจริงๆ
แปลกดีมั๊ยล่ะ !?