เจ้าของ เจ้านาย ลูกจ้าง และ เงินเดือน

วันนี้หลังจากกลับบ้านมาก็นั่งเล่นเน็ทเปิดดูนู่นดูนี่ไปตามเรื่อง
ลองกดดูลิงค์เข้าบอร์ดเก่าที่พึ่งขุดเจอแล้วเอาไปแปะไว้ที่เวป Bmaj7.com
เป็นบอร์ดที่ใช้ตั้งแต่สมัยเริ่มทำเวปใหม่ๆ (เมื่อปี 2001)
ถึงตอนนี้บอร์ดเก่าอันนั้น ก็มีความหมายประมาณว่าเอาไว้ดู ว่าเมื่อก่อนเคยมีคนติดต่อคุยกับเรายังไง แล้วเดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปเป็นยังไง ใครบ้างที่ยังคุยกันอยู่ แล้วใครบ้างที่หายไป ถ้ายังคุยกันอยู่ เดี๋ยวนี้เค้าคุยกับเราเปลี่ยนไปยังไง…  อะไรประมาณนั้น
อ่านไปอ่านมา ก็ลิ้งค์เข้าไปเจอเวปของ เม่น, เพื่อนสนิทของพัชร, ซึ่งตอนนี้เม่นมาเปิดบริษัทรับทำกราฟฟิค และค่ายเทปโดยมีพัชรไปช่วยทำด้วยกัน
จำไม่ได้แล้วว่าเข้าไปเวปของเม่นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่จำได้ว่าทุกครั้งที่เข้าไป ก็ประทับใจลีลาการเขียนบทความ และการทำเวปของเม่นทุกที
ถึงแม้จะไม่รู้จักกันมากเท่าไหร่ (มีโอกาสได้เจอเม่นตัวเป็นๆ แค่สองครั้งเองมั้ง เท่าที่จำได้) แต่ก็พอรู้ว่าเม่นเป็นเก่งคนนึง
ที่เวปของเม่น (www.imenn.com) มีลิ้งค์เข้าไปถึงกระทู้นึงในเวป Freemac.net ซึ่งมีหัวข้อที่น่าสนใจทีเดียว พูดเกี่ยวกับ เงินเดือน ว่าได้กันสักเท่าไหร่ถึงจะพอ ??
จำได้ว่าเคยได้ยินได้ฟังเพื่อนๆพูดถึงเรื่องนี้กันก็หลายที ยิ่งตอนนี้ที่บ้านกำลังจะเปิดบริษัทเอง ยิ่งรู้สึกว่าหัวข้อนี้มันน่าสนใจ
ขออนุญาติลอกข้อความที่เม่นโพสในกระทู้เงินเดือนเอาไว้เกี่ยวกับบริษัทของเม่นมาไว้ตรงนี้สักนิดนึง
“ขอตอบ (ขุดกระทู้) ในฐานะคนทำบริษัทกราฟฟิคเล็กๆ ดูแลพนักงานสิบกว่าคนนะครับ

ผมคิดว่าสัดส่วนที่แฟร์มากๆสำหรับธุรกิจบริการเนี่ย เมื่อเทียบกับยอดขาย น่าจะประมาณ

1. คนทำ (เช่น Graphic Designer) …… 30%
2. คนตรวจ (เช่น Art Director) ……….. 30%
3. คนขาย (เช่น AE, Sales) ……………. 30%
4. ค่าใช้จ่ายทางบัญชี (เช่น Admin) ……. 10%

จะเห็นว่าที่แจกแจงเป็นการให้ตัวเลขแบบไม่มีค่าใช้จ่ายแฝงเลย (ค่าโทรศัพท์, ค่าน้ำมัน, ค่าเสื่อมราคาของคอมพิวเตอร์) ถ้าทุกคนเป็น Freelance และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตัวเอง ผมว่าก็น่าจะได้ผลตอบแทนประมาณนี้แหละ นั่นคือ ถ้าคุณเป็น Graphic Designer ในทีม คุณสร้างรายได้ 100,000 บาท คุณควรจะได้เงิน 30,000 บาท

แต่คุณควรจะต้องจ่าย (หรือบริษัทต้องจ่าย)
1. ค่าเสื่อมราคาคอมและอุปกรณ์ต่อพ่วง หรือคิดว่าเป็นค่าเช่าชุดคอม เดือนละประมาณ 2,000 – 3,000 บาท
(เอาราคาคอม หารด้วย 36 เดือน (อายุใช้งานคอมทั่วไป) อาจมีค่าบำรุงรักษาอีกหน่อย)
2. ค่าเสื่อมราคาซอฟแวร์ หรือคิดว่าเป็นค่าเช่าโปรแกรม เดือนละประมาณ 2,000-3,000 บาท
(คิดแบบเดียวกับข้อ 1. แต่ถ้ามีบางโปรแกรมต้องเปลี่ยนทุกปีก็ยิ่งไปใหญ่)
2. ค่าไฟ เดือนละประมาณ 1,000 บาท
3. ประกันสังคม คุณจ่าย 5% บริษัทจ่าย 5% ถ้าเงินเดือน 20,000 บริษัทก็จ่าย 1,000 บาท
4. ค่าใช้จ่ายเอกสาร+สวัสดิการเบ็ดเตล็ด 1,000 -2,000 บาท
5. ค่าเช่าออฟฟิศ เฉลี่ยมาลงที่คน อาจจะประมาณคนละ 1,000-2,000 บาท (ถ้าคุณเช่าหอเพื่อทำงาน Freelance คุณต้องจ่าย 3,000-4,000 บาท ถ้าคุณอยู่บ้านที่เคยซื้อมา บ้านราคา 2 ล้าน อยู่ 20 ปี ไม่รวมดอกเบี้ยยังตกเป็นค่าใช่จ่ายเดือนละ 8 พันกว่าบาทนะครับ)
6. ถ้าเป็นส่วน AE ก็จะมีพวกค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำมัน ค่าอาหารเลี้ยงลูกค้า ฯลฯ

จะเห็นว่า ถ้าคุณสามารถทำเงินได้ 100,000 บาท คุณควรจะมีเงินเดือนประมาณ 20,000-25,000 บาท หรือกลับกัน คือ คุณควรจะทำงานได้มูลค่า 4-5 เท่าของเงินเดือน

ที่ผ่านมาบรีิษัทผม ถ้่าทุกคนทำได้ 4-5 เท่าของเงินเดือน บริษัทจะมีรายได้ประมาณ 1.5-2 เท่าของเงินเดือนรวมทั้งบริษัท (อย่าลืมว่า 1 โปรเจ็คใช้หลายคนทำ) ซึ่งจะทำให้บริษัทมีฐานะพออยู่ได้ ไม่ขาดทุน แต่ก็ไม่ได้กำไรมาก ให้โบนัส 1 เดือนก็แทบไม่เหลือเงินลงทุนเพ่ิมแล้ว

เมื่อหลายปีที่แล้ว ผมเป็น Freelance ทำงานคนเดียว ผมโกงค่าใช้จ่ายหลายส่วนได้ เช่นค่าซอฟแวร์ ค่าประกันสังคม ค่าบ้าน ค่าไฟ ฯลฯ แต่จำได้ว่า ผมโกงค่าใช้จ่ายที่จะแบ่งให้ส่วนต่างๆไม่ได้ ถ้าเป็นแค่ Graphic Designer มันก็ปิดการขายไม่ได้ ได้งานจากคนรู้จักไม่กี่งานเดี๋ยวก็หมด ถ้าเป็นแค่ Sales ก็ไม่มีคนทำ จะแจกต่อ ก็ไม่มีคนตรวจ ก็เลยต้อง ขายเอง ทำเอง ตรวจเอง (งานหลักพันกับหลักหมื่น บางทีกราฟฟิคเหมือนกันเปี๊ยบ ต่างที่มีคนตรวจหรือเปล่า แก้งานหลายครั้งหรือเปล่า)

และที่เหนื่อยที่สุดตอนเป็น Freelance ก็คือ ระหว่างทำงานลูกค้าปัจจุบัน (ซึ่งก็มักจะรีบอยู่แล้ว) ก็ยังต้องแบ่งเวลาไปทวงเงินงานในอดีต และแบ่งเวลาไปหางานในอนาคต จำได้ว่าผมถึงกับนิยามชีวิตช่วงนั้นว่า การเป็น Freelance คือการรบในสงครามที่ไม่มีวันจบ เลยเชียว

หลังจากขู่เรื่องการเป็น Freelance แล้ว ก็ขอตบท้ายว่า สนใจมาสมัครงานกับผมได้ครับ (ฮา…)”

Note: ที่มา
หลังจากอ่านกระทู้นั้นแล้ว ก็รู้สึกว่า อืมม.. จริงด้วย คนที่เป็นเจ้าของกิจการ กับคนที่เป็นลูกน้อง มองค่าตัว ผลตอบแทนจากการทำงานต่างกันจริงๆ
ลูกจ้างก็อยากได้เงินเยอะๆ ในขณะที่นายจ้างก็พยายามให้เท่าที่ให้ได้
ถ้าต้องการคนมาทำงาน ให้เงินเดือนน้อย ก็ไม่มีคนมาทำด้วย แต่ถ้าให้มาก บริษัทไปไม่รอด คนที่จะตายก็คือเจ้าของนี่ล่ะ
blog วันนี้ไม่มีอะไรมาก แค่อยากยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดเฉยๆ เพราะพอดีกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่… แค่นี้ล่ะ จบดีกว่า 
ปล. เข้าเวปบอร์ดของ Bmaj7.com ได้ที่
และเข้าบอร์ดเก่าได้ที่