ผมคิดว่าสัดส่วนที่แฟร์มากๆสำหรับธุรกิจบริการเนี่ย เมื่อเทียบกับยอดขาย น่าจะประมาณ
1. คนทำ (เช่น Graphic Designer) …… 30%
2. คนตรวจ (เช่น Art Director) ……….. 30%
3. คนขาย (เช่น AE, Sales) ……………. 30%
4. ค่าใช้จ่ายทางบัญชี (เช่น Admin) ……. 10%
จะเห็นว่าที่แจกแจงเป็นการให้ตัวเลขแบบไม่มีค่าใช้จ่ายแฝงเลย (ค่าโทรศัพท์, ค่าน้ำมัน, ค่าเสื่อมราคาของคอมพิวเตอร์) ถ้าทุกคนเป็น Freelance และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตัวเอง ผมว่าก็น่าจะได้ผลตอบแทนประมาณนี้แหละ นั่นคือ ถ้าคุณเป็น Graphic Designer ในทีม คุณสร้างรายได้ 100,000 บาท คุณควรจะได้เงิน 30,000 บาท
แต่คุณควรจะต้องจ่าย (หรือบริษัทต้องจ่าย)
1. ค่าเสื่อมราคาคอมและอุปกรณ์ต่อพ่วง หรือคิดว่าเป็นค่าเช่าชุดคอม เดือนละประมาณ 2,000 – 3,000 บาท
(เอาราคาคอม หารด้วย 36 เดือน (อายุใช้งานคอมทั่วไป) อาจมีค่าบำรุงรักษาอีกหน่อย)
2. ค่าเสื่อมราคาซอฟแวร์ หรือคิดว่าเป็นค่าเช่าโปรแกรม เดือนละประมาณ 2,000-3,000 บาท
(คิดแบบเดียวกับข้อ 1. แต่ถ้ามีบางโปรแกรมต้องเปลี่ยนทุกปีก็ยิ่งไปใหญ่)
2. ค่าไฟ เดือนละประมาณ 1,000 บาท
3. ประกันสังคม คุณจ่าย 5% บริษัทจ่าย 5% ถ้าเงินเดือน 20,000 บริษัทก็จ่าย 1,000 บาท
4. ค่าใช้จ่ายเอกสาร+สวัสดิการเบ็ดเตล็ด 1,000 -2,000 บาท
5. ค่าเช่าออฟฟิศ เฉลี่ยมาลงที่คน อาจจะประมาณคนละ 1,000-2,000 บาท (ถ้าคุณเช่าหอเพื่อทำงาน Freelance คุณต้องจ่าย 3,000-4,000 บาท ถ้าคุณอยู่บ้านที่เคยซื้อมา บ้านราคา 2 ล้าน อยู่ 20 ปี ไม่รวมดอกเบี้ยยังตกเป็นค่าใช่จ่ายเดือนละ 8 พันกว่าบาทนะครับ)
6. ถ้าเป็นส่วน AE ก็จะมีพวกค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำมัน ค่าอาหารเลี้ยงลูกค้า ฯลฯ
จะเห็นว่า ถ้าคุณสามารถทำเงินได้ 100,000 บาท คุณควรจะมีเงินเดือนประมาณ 20,000-25,000 บาท หรือกลับกัน คือ คุณควรจะทำงานได้มูลค่า 4-5 เท่าของเงินเดือน
ที่ผ่านมาบรีิษัทผม ถ้่าทุกคนทำได้ 4-5 เท่าของเงินเดือน บริษัทจะมีรายได้ประมาณ 1.5-2 เท่าของเงินเดือนรวมทั้งบริษัท (อย่าลืมว่า 1 โปรเจ็คใช้หลายคนทำ) ซึ่งจะทำให้บริษัทมีฐานะพออยู่ได้ ไม่ขาดทุน แต่ก็ไม่ได้กำไรมาก ให้โบนัส 1 เดือนก็แทบไม่เหลือเงินลงทุนเพ่ิมแล้ว
เมื่อหลายปีที่แล้ว ผมเป็น Freelance ทำงานคนเดียว ผมโกงค่าใช้จ่ายหลายส่วนได้ เช่นค่าซอฟแวร์ ค่าประกันสังคม ค่าบ้าน ค่าไฟ ฯลฯ แต่จำได้ว่า ผมโกงค่าใช้จ่ายที่จะแบ่งให้ส่วนต่างๆไม่ได้ ถ้าเป็นแค่ Graphic Designer มันก็ปิดการขายไม่ได้ ได้งานจากคนรู้จักไม่กี่งานเดี๋ยวก็หมด ถ้าเป็นแค่ Sales ก็ไม่มีคนทำ จะแจกต่อ ก็ไม่มีคนตรวจ ก็เลยต้อง ขายเอง ทำเอง ตรวจเอง (งานหลักพันกับหลักหมื่น บางทีกราฟฟิคเหมือนกันเปี๊ยบ ต่างที่มีคนตรวจหรือเปล่า แก้งานหลายครั้งหรือเปล่า)
และที่เหนื่อยที่สุดตอนเป็น Freelance ก็คือ ระหว่างทำงานลูกค้าปัจจุบัน (ซึ่งก็มักจะรีบอยู่แล้ว) ก็ยังต้องแบ่งเวลาไปทวงเงินงานในอดีต และแบ่งเวลาไปหางานในอนาคต จำได้ว่าผมถึงกับนิยามชีวิตช่วงนั้นว่า การเป็น Freelance คือการรบในสงครามที่ไม่มีวันจบ เลยเชียว
หลังจากขู่เรื่องการเป็น Freelance แล้ว ก็ขอตบท้ายว่า สนใจมาสมัครงานกับผมได้ครับ (ฮา…)”